ประวัติความเป็นมา บริษัท บางกอกสหประกันภัย จำกัด (มหาชน) BUI
บริษัท บางกอกสหประกันภัย จำกัด (มหาชน) เริ่มก่อตั้งเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2472 โดยใช้ชื่อว่า "บริษัท ฮั่วเคี้ยวลิ่นฮะกงษี จำกัด" ด้วยวัตถุประสงค์ เพื่อทำการรับประกันอัคคีภัยในประเทศสยาม ซึ่งนับได้ว่าเป็นบริษัทคนไทยบริษัทแรก ที่ดำเนินการด้านการประกันวินาศภัย
บริษัทฯ ได้ดำเนินการธุรกิจประกันวินาศภัยมาอย่างต่อเนื่อง และมีพัฒนาการ ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ คือ พ.ศ. 2501 บริษัทฯ มีพนักงานเพียง 10 คน และออกกรมธรรม์ประกันภัยเป็นภาษาจีน โดยใช้วิธีการเขียน ถ้าลูกค้าต้องการกรมธรรม์เป็นภาษาไทยจะใช้การพิมพ์ดีด เงื่อนไขของกรมธรรม์ในยุคนั้น มีด้วยกัน 3 ภาษา เงื่อนไขสมบูรณ์เป็นภาษาอังกฤษ และเงื่อนไขโดยย่อเป็นภาษาไทย และภาษาอังกฤษ พ.ศ. 2505 ธุรกิจประกันภัยมีแนวโน้มที่ดีขึ้น กรรมการผู้จัดการในขณะนั้น ริเริ่มที่จะขยายตลาดไปยังหน่วยราชการ จึงมีความคิดที่จะเปลี่ยนชื่อบริษัทจากภาษาจีนเป็นภาษาไทย เพื่อสร้างภาพพจน์บริษัทฯ ในฐานะเป็นบริษัทคนไทยบริษัทหนึ่ง คุณเชวง เคียงศิริ ประธานกรรมการในขณะนั้นได้เสนอชื่อ "บางกอกสหประกันภัย" ซึ่งที่ประชุมได้เลือกชื่อดังกล่าว และ สัญลักษณ์ของบริษัทฯ ให้สอดคล้องกับชื่อใหม่อันได้แก่ภาพ "อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย" อันหมายถึงจุดศูนย์รวมหรือจุดเริ่มต้นของกรุงเทพฯในยุคสมัยนั้น พ.ศ. 2517 ได้มีการเปลี่ยนแปลงระบบการบริหารภายในอย่างมากมาย โดยมีจุดมุ่งหมายให้บริษัทฯ เติบโตอย่างต่อเนื่องและก้าวไปข้างหน้าอย่างแข็งแกร่ง มีการพัฒนาการบริหารงานให้เป็นแบบ Professional หรือที่เรียกว่า "นักประกันภัยมืออาชีพ" บุคลากรของบริษัทฯ ต้องเป็นนักประกันภัยที่ดี ยึดหลักวิชาการประกันภัยในการตัดสินปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น พ.ศ. 2531 บริษัทฯ ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพิ่มทุนจดทะเบียนจากเดิม 12 ล้านบาทเป็น 20 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นหุ้นสามัญ 4 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นละ 5 บาท จำหน่ายแก่ผู้ถือหุ้นทั่วไป หุ้นละ 60 บาท พ.ศ. 2531 เพิ่มทุนจดทะเบียนจากเดิม 12 ล้านบาท เป็น 20 ล้านบาท โดยแบ่งออกเป็นหุ้นสามัญ 4 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นละ 5 บาท จำหน่ายแก่ผู้ถือหุ้นทั่วไปหุ้นละ 60 บาท พ.ศ. 2532 เพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 20 ล้านบาท เป็น 40 ล้านบาท พ.ศ. 2537 จดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชน และเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นจากหุ้นละ 5 บาท เป็นหุ้นละ 10 บาท พ.ศ. 2538 เพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 40 ล้านบาท เป็น 80 ล้านบาท พ.ศ. 2548 เพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 80 ล้านบาท เป็น 100 ล้านบาท พ.ศ. 2549 เพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 100 ล้านบาท เป็น 200 ล้านบาท